โดยทั่วไปประกันชีวิตจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ คือ ประกันชีวิต ที่เรามีการสะสมเงินไว้กับบริษัทประกันชีวิต และจะได้รับเงินคืนเป็นงวด ส่วนใหญ่แล้ว จะได้รับคืนเป็นรายปี เมื่อสะสมครบตามจำนวนปี ที่บริษัทนั้นๆ กำหนด ทั้งนี้ รูปแบบการสะสม และการได้รับเงินคืน ก็ขึ้นอยู่กับแบบของประกันด้วย แต่ที่เหมือนๆ กัน คือเมื่อครบกำหนดสัญญาจะได้รับเงินคืนเป็นก้อน ซึ่งเงินก้อนนี้สามารถนำไปใช้จ่ายได้ตามความต้องการ อาจจะนำไปเป็นเงินทุนทำธุรกิจเมื่อเกษียณ เก็บไว้ให้เป็นทุนการศึกษาบุตรหลาน หรือ นำไปเที่ยวรอบโลก ตามเป้าหมายเรา โดยทั่วไป ค่าเบี้ยประกันค่อนข้างสูง เพราะเป็นประกันที่ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ครบตามกำหนดสัญญาหรือไม่ บริษัทก็จะต้องจ่ายเงินคืนให้เรา หรือผู้รับผลประโยชน์ แล้วแต่กรณี
การทำประกันชีวิต ถือเป็นการโอนความเสี่ยงให้แก่บริษัทประกันชีวิตอยู่แล้ว ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ก็จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า หากเกิดอะไรขึ้นต่อชีวิตเรา ก่อนวัยอันควร ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จะมีมีเงินก้อนหนึ่งไว้ใช้จ่าย ยิ่งถ้าหากเราเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยแล้ว
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์นั้น มีผลตอบแทนที่แน่นอนว่า จะได้รับเงินคืนแต่ละงวดเท่าไร และเมื่อครบกำหนดสัญญาเท่าไร จึงไม่ต้องกังวลกับภาวะเศรษฐกิจที่ขึ้นๆ ลงๆ ว่าจะมีผลกับผลตอบแทนของเราหรือไม่
การฝากเงินในบัญชี หรือการซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อครบกำหนดได้รับดอกเบี้ย เราจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ แต่ผลตอบแทนจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนระหว่างสัญญา หรือเมื่อครบกำหนดสัญญา ก็ไม่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้ทำประกันฯ จะได้รับผลตอบแทนเต็มตามที่ระบุไว้ค่ะ
นอกจากผลตอบแทนจะไม่ถูกหักภาษีแล้ว เบี้ยประกันที่เราต้องส่งให้บริษัทประกันชีวิต ก็ยังสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ ประจำปี ได้อีก มีข้อแม้ว่า กรมธรรม์นั้นจะต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยเบี้ยประกันที่จ่ายมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท และลดหย่อนได้ตามจำนวนปีที่มีการชำระเบี้ยประกันเลยค่ะ
ด้วยการจ่ายเบี้ยประกันของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ มีรูปแบบที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันกันไปจนครบกำหนดสัญญา ไม่ว่าจะตกลงชำระเบี้ยประกันเป็น รายปี ราย 6 เดือน หรือ 3 เดือน (เพื่อไม่ทำให้ผู้จ่ายเบี้ยรู้สึกเป็นภาระกับการชำระเบี้ยประกันก้อนใหญ่) นั้น จะช่วยสร้างวินัยให้ผู้ซื้อประกันมีวินัยในการออมเงิน เพื่อจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอ ข้อดีข้อนี้ เหมาะกับผู้ที่เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ แต่มีเป้าหมายทั้งการออมเงินและต้องการสร้างความคุ้มครองให้ตัวเอง มากๆ ค่ะ (ผู้เขียนเอง ก็ทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เพราะเหตุผลข้อนี้เป็นหลักเลย)
เมื่อผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบกำหนดสัญญา ก็จะได้รับเงินที่เราสะสมไว้คืน รวมถึงผลตอบแทนแต่ละงวด กรณีที่เราไม่เคยเบิกมาใช้จ่าย ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวรวมกันก็มีมากกว่าเบี้ยประกันที่เราส่งไปแต่ละงวดรวมกัน แม้จะไม่มากมายมหาศาล แต่ก็จะเป็นเงินก้อนให้เรานำไปใช้ตามความต้องการที่วางแผนไว้ได้
เกือบทุกบริษัทประกันชีวิตจะมีประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ไว้ให้ลูกค้าเลือกใช้บริการแน่นอนค่ะ เพียงแต่ก่อนที่จะทำการตกลงซื้อกรมธรรมประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ผู้เขียนก็อยากให้ผู้อ่านทุกท่าน อ่านข้อมูลให้ละเอียด ตรวจสอบเงื่อนไข และข้อตกลงต่างๆ
(26.12.2560)