การมีกรมธรรม์ประกันชีวิตไว้ในครอบครองถือเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเรามีความมั่นคงที่จะวางแผนอนาคตให้กับตัวเอง และครอบครัว ประกอบกับปัจจุบันนี้ ค่าใช้จ่ายสำหรับการทำประกันชีวิตก็ไม่ได้มีราคาแพงเหมือนก่อน ทั้งยังมีหลายหลายบริษัทฯ ให้เลือก แต่ละบริษัทก็มีแผนการทำประกันชีวิตให้เราได้เลือกสรรตามความต้องการและความเหมาะสมกับวิธีการดำเนินชีวิตของเรา ขึ้นอยู่กับเราเป็นผู้เลือกเอง ทั้งนี้ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันชีวิต ผู้เขียนมีข้อแนะนำเล็กๆ น้อย ให้ผู้อ่านใช้ในการพิจารณากัน
ควรคำนึงถึงความต้องการที่จำเป็นจะต้องทำประกันชีวิตมากเท่าไร ความคุ้มครองที่ครอบคลุม โดยพิจารณาถึงข้อเสนอที่ดีและมีเหตุผล คิดถึงภาระหน้าที่และการเงินของคุณ รวมไปถึงครอบครัวด้วย
เพราะถ้าคุณมีสุขภาพที่ไม่ค่อยดี คุณอาจถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง และอาจถูกลิดรอนสิทธิได้ เช่น ถูกลดดอกเบี้ยประกันชีวิต เป็นต้น
เช่นเดียวกับการซื้อสินค้าอื่นๆ ที่ต้องมีการเปรียบเทียบราคา คุณภาพ จากผู้ขายสัก 2-3 เจ้าก่อน การซื้อประกันชีวิตก็เช่นกัน เพราะจะทำให้คุณได้มีโอกาสเลือกบริษัทที่เหมาะสม กรมธรรม์ที่ใช่ เพราะท้ายที่สุด ผลประโยชน์ที่จะได้รับก็จะได้คุ้มค่าที่สุด
การอ่านข้อตกลงและสัญญาให้ถี่ถ้วนจะทำให้คุณไม่เสียเปรียบ หากบริษัทนั้นๆ จะทำการซ่อนประเด็นบางอย่างไว้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยประกันภัยแฝง ที่ทางบริษัทไม่ได้กำหนดไว้ให้เห็นได้ชัดเจน เป็นต้น
คุณต้องแน่ใจว่า ผลประโยชน์และนโยบายของบริษัทประกันชีวิตนั้นๆ ตรงกับความต้องการของคุณรึป่าว คุณสามารถซื้อประกันเพิ่มในอนาคตได้ไหม เช่น ในอนาคตเมื่อมีบ้านหลังใหม่ มีการแต่งงาน มีลูก จึงควรที่จะทำประกันชีวิตที่ครอบคลุมที่สุด
เมื่อตัดสินใจทำประกันชีวิตไปแล้ว คุณไม่ควรพลาดการชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตเลยสักครั้ง เพื่อประวัติที่ดี เพราะการพลาดเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้คุณต้องเสียดอกเบี้ย ซึ่งไม่คุ้มค่ากันเลย
การทำประกันชีวิตเมื่ออายุยังน้อย การคำนวณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเบี้ยประกันชีวิตก็จะน้อยกว่าทำประกันชีวิตเมื่ออายุมากขึ้น
การศึกษาและรับทราบข้อมูลต่างๆ จะทำให้คุณประเมินสถานการณ์ของคุณเองได้ ว่าคุณต้องการประกันแบบไหน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคุณเอง ซึ่งเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันภัยนั้นๆ ก็จะสามารถให้คำแนะนำต่างๆ ได้ด้วย
เมื่อตัดสินใจทำประกันชีวิตได้แล้ว อย่างที่เกริ่นไว้ในข้อ 6 ว่าคุณไม่ควรพลาดการชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต เลยสักครั้ง
เบี้ยประกันชีวิต ก็คือเงินที่ผู้เอาประกัน (หลังจากที่คุณซื้อประกันชีวิตแล้ว ศัพท์ในวงการประกันภัย คุณคือ ผู้เอาประกัน) จะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันภัย เพื่อซื้อความคุ้มครอง เพื่อสะสมทุนประกัน หรือเพื่อสะสมทรัพย์ สำหรับประกันแบบออมทรัพย์ ระยะเวลาการจ่ายเบี้ยประกันชีวิต ก็ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของบริษัทฯ หรือเป็นการตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย คือบริษัทประกันชีวิต และผู้เอาประกัน ตัวอย่างเช่น ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่มีทุนประกัน 1,000,000 บาท ผู้เอาประกันจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันชีวิต เป็นเวลา 15 ปี ปีละประมาณ 5000 บาท โดยบริษัทฯ ให้ผู้เอาประกันเป็นผู้เลือกว่า จะชำระปีละ 1 ครั้ง 5,000 บาท หรือแบ่งจ่าย 2 ครั้ง ครั้งละ 2,500 บาท ชำระ ทุก 6 เดือน เป็นต้น หลายๆ บริษัท จะระบุไว้ในเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ ว่าหากขาดชำระเบี้ยประกันชีวิต ท่านยินดีให้บริษัททำการยืมเงินของบริษัทโดยอัตโนมัติ เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตแทนท่าน โดยจะมีการคิดดอกเบี้ยด้วย ฉะนั้นแทนที่ผู้เอาประกันจะได้ประโยชน์จากการทำประกันชีวิต ก็อาจจะกลายเป็นเสมอตัว หรือติดลบ ก็เป็นได้ ฉะนั้น อย่าพลาดชะรำค่าเบี้ยประกันเด็ดขาด นอกเสียจากว่า คุณตั้งใจที่จะยกเลิกกรมธรรม์นั้นๆ ก็ติดต่อแจ้งบริษัทฯ อย่างเป็นทางการไปเลย ซึ่งจะเป็นการดีกว่าสำหรับทั้งสองฝ่าย
(26.12.2560)